North america

Global Trading Investment Knowledge in Stock Markets : USA (Dow Jones, Nasdaq), Canada (TSX), Thailand(SET)

Saturday, December 18, 2010

ลงทุนเรียนเมืองนอก ดีกว่า เมืองไทย ไหมนะ

by Nu Kittinu on Saturday, September 18, 2010 at 8:33pm

ใน ชีวิต ไม่เคยคิดว่า จะได้มาเรียนเมืองนอกกะเขา จำได้สมัยตอนมัธยมปลายกลัว ครูฝรั่ง มาก กลัวเฉพาะ พูดกะ ฟังนะ ถึงคาบก็มีแต่พวกผม (หมอ วิดวะ ) นั่นแหละ นั่งกันติดกำแพง ในใจคิดว่า ครูอย่าถามผมนะ หมดคาบแทบขาดใจตาย  ส่วนแกรมม่า กะ อ่าน ขอให้บอกเถอะ เคยสอบทุน AFS ได้กะเขาเหมือนกัน แต่ทั้งโรงเรียนติดกัน 50 กว่าคน โคตรเยอะ คัดเฉพาะคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ กับ บ้านรวย ซึ่งผม ไม่ได้อยู่ 2 ประเภทนั้นเลยนะ

ตอน เรียนมหาลัย ก็อ่าน Text book นะ เขียนบ้างไม่เยอะ ไม่ได้พูด ไม่ได้ฟัง เพราะ ไม่ได้เรียนวิดวะอินเตอร์แบบชาวบ้านเขา ของผมวิดวะ บ้านนอก ถึกและทนเป็นที่เล่าขานกันในหมู่วิดวะ ว่า มีความทนทานมาก (ฟายมาก) เพราะ ไปไหน ไม่ได้ ไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษติดตัวกันนั่นเอง

มี เพื่อนอยู่ 1 คน เป็นรุ่นพี่ ไป ทุน American แลกเปลี่ยน มา 1 ปี พอกลับมานั่นแหละ พูดอังกฤษอย่าง Native แถมเรียนเก่งอีก ก็ได้ทำงานกับบริษัทน้ำมันอินเตอร์ข้ามชาติ ด้วยวัย 20 กว่า ด้วย 5,000$ ต่อเดือน ตอนนี้ เจอกันล่าสุด รับกันไปที่มากกว่า 100,000$ ต่อปี ก็ถือว่า ไม่น้อยทีเดียว สำหรับลูกจ้างมืออาชีพ ส่วนเส้นทางผม ไม่ได้เรื่องภาษา เข้าเครือปูนซีเมนต์ไทย รายได้เริ่มต้นก็ไม่ได้แย่นัก แต่ยังคงใช้ภาษาไทย อังกฤษบ้าง แบบ งู งู ปลา ปลา แต่ ไม่น่าเชื่อ เวลาสอบ ผมอยู่ต้นๆ ของบริษัท อยู่ 1 ใน 10 ก็ถือว่า ไม่ได้ย่ำแย่อะไรมากนัก เพราะ มีพื้นแกรมม่า และ การอ่านดี   การพูด และ การฟัง ไม่ต้องพูดมัน ห่วย แตก มาก

ในที่ทำงาน มีพี่ที่จบยูนอก และ ยูไทย AIT ที่เรียนด้วยภาษาอังกฤษ ตอนนั้น ผมมองว่า ระดับเทพ มาก ในสายตาวิศวกรด้วยกัน ถือว่า ระดับชั้นนั้นสูงกว่าที่เดียว ในใจคิดว่า ฐานะ ปัญญาเรา คงไม่ได้แบบเขาหรอก ทำงานเป็น เบ้ ต่อไปดีกว่า  วิดวะ คนไหน ภาษาเก่งหน่อย บินออกนอกประเทศกันว่าเล่น ส่วนผมอยู่โรงงานครับ วันหยุดยาว มาทำงานซ่อมบำรุง  วันหยุดเขา วันทำงานเรา วันทำงานเขา ก็วันทำงานเราอีก ชีวิต 7-11 นั่นแหละครับ

จนเมื่อการเปลี่ยนแปลง ครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อมาแคนาดา เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมบ้าง หัวเราะทั้งน้ำตากันทีเดียว  มาเป็นพลเมืองที่นี่ มาถึงก็สอบวัดระดับ CBLA หรือ Canadian Brench Mark Assessment ให้ทดสอบว่า พูด ฟัง อ่าน เขียน อยู่ระดับไหน เขาจะมีโรงเรียนสอนและปรับภาษาให้เขาเรียกว่า LINC โปรแกรม โดยรัฐบาล จัดให้ ฟรี เพื่อปรับพื้นฐาน เริ่มเรียนกัน ตั้งแต่ ออกเสียงใหม่หมดเลย เหมือนเด็กประถม ตั้งแต่เสียง R,L,TH ที่ยากสำหรับคนไทยเรามาก เนื่องจาก วิจัยแล้วขัดกับภาษาไทย แม่ของเราเป็นอย่าง ยิ่ง ไม่ใช่ แต่ไทยนะ เพื่อน คนจีน ญี่ปุ่น ชาติอื่น ก็มีปัญหาแตกต่างกันไป  จำได้ว่า เดินไปทำเสียง R,L,TH ไป ประมาณ 6-7 เดือน จึงจะปรับลิ้นได้ จากลิ้นภาษาแม่  ส่วนใครที่มาเรียนภาษาแค่ 6 เดือนนะ รับรองว่าได้เลยว่า กลับไปภาษาไทยยังชัดแจ๋วแน่นอน

การ เรียนภาษาอังกฤษ ที่ถูกต้อง ต้องเริ่มจากการฟัง เจ้าของภาษา ซึ่งครูไทยเรา สอนแบบผิด ๆ "Good morning , How are you ?  I'm fine. Thank you and you, Sit down", ท่องเป็นนกแก้ว (โรงเรียนบ้านนอก ผมสอนแบบนี้ ทุกเช้า) ไม่ได้สอน ให้เริ่มจากการฟังก่อน เน้นแกรมม่า เขียนกันซะเกิน ทักษะ ควรจะต้องพัฒนาทั้ง 4 ด้าน  พูด ฟัง อ่าน เขียน ไปด้วยกัน  การฟังสำคัญที่สุด เหมือนเด็กที่เกิดที่นี่  ฟังพ่อ แม่พูดเป็นปี ถึงจะพูดตามพ่อแม่ได้ คือการเลียนเสียง หรือ Copy เสียงนั่นเอง จะมีคำเน้น พยางค์ สั้น ยาว ขึ้นแต่ละคำ ที่เรียกว่า Stress และ Shawa นั่นเอง การเรียนภาษาที่ดี คือ ดู TV ที่เป็นอังกฤษ ไม่มี Sub title อย่างน้อยวันละ 2 ชม โดย ครูที่ดี ของผมก็คือ Youtube นั่นเอง ฝึกฟัง Copy เสียงเอา เริศมากครับ

จากนั้นเข้าเดือนที่ 8 ภาษาผมดีขึ้นมาก ทดสอบภาษาอังกฤษเข้าเรียนโท ได้อย่างสบาย ใช้เวลาเรียน ปี ครึ่ง จบมาเกรด เรียนต่ออีกขั้นได้สบาย โดยมีพื้นฐานการเขียน แกรมม่าเป็นพิ้นที่ดีติดมาจากเมืองไทย ส่วนการฟัง ถึงจะฟังไม่หมด ก็เก็บด้วยการอ่านหนังสือเอา  ผลการสอบที่ไร ก็ไม่น้อยหน้าชาติใด แต่ต้องอ่านหลายรอบหน่อยเท่านั้น เพราะไม่ใช่ภาษาแรกของเรา อ่านรอบเดียว ไม่มีทางจำได้หมด ต้อง อึด และ บึก เท่านั้น โดยรวมไม่เห็นจะยาก เท่าเทียมกับคนชาติอื่นๆ ไม่แพ้กันตรงไหน ยังดีกว่าด้วยซ้ำความมั่นใจกาารเรียน พูด ฟัง กลัวฝรั่ง นั้นแทบไม่มีเลย เรียกว่า "คนไทย ก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก" ทีเดียว

ค่าเล่าเรียน นั้น โชคดี ผมได้ทุนรัฐบาลแคนาดา ไม่ใช่ ทุนรัฐบาลไทยนะ คงไม่มีปัญญาไปแย่งพวกอัจฉริยะ ในเมืองไทยได้ ที่นี่ เขาให้ขอทุนเรียนได้
จบ แล้ว ใช้คืนเอา มีค่าหนังสือ ค่าใช้จ่ายให้แต่ละเดียว พอเพียง ถ้าเป็นพลเมืองถาวรแบบผม ค่าเล่าเรียนสายวิดวะ ก็ตก 10,000$ ต่อ โปรแกรม ก็ 300,000 กว่าบาท เท่านั้น อย่างกะเรียนเมืองไทยเลย ส่วนถ้าเป็นพวกน้องนักเรียนไทยก็ 2 เ่ท่า ก็ 600,000 บาท แต่ค่าใช้จ่ายอยู่นะแพง ตีซะเดือนละ 1000$ x24 เดือนก็ 24000$x30B = 720,000B โดยรวมอย่างต่ำแล้ว ก็คนละ ล้าน สามแสนอย่างต่ำ ถ้าเรียนสาย MBA บริหาร ค่าเล่าเรียน 40,000$ ต่อโปรแกรม คิดดู 4 เท่าของสายอาชีพ เท่ากันหมด ไม่ว่า พลเมืองถาวร แคนาเดียน นักเรียนต่างชาติ รวมค่าเล่าเรียน ค่าอยู่ สายบริหาร ประมาณ 2 ล้าน ต่อคนได้

มาตอบคำถาม เรียนเมืองนอก กับ เมืองไทย ดีกว่า ตรงไหน
1. ภาษาอังกฤษที่ดีกว่า และพัฒนาตัวเองได้เร็วกว่า เพราะ ไม่ได้ค่อยคุยไทยกับใคร ต่อให้เรียนอินเตอร์ที่ไทยก็ยังไม่ดีเท่า และ เร็วกว่า ส่วนพวกที่มีเพื่อนนักเรียนไทยเยอะๆ นั้น ก็ไม่ค่อยได้พัฒนาเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เมืองไทยที่ได้ใช้มากขึ้น ของจริงต้องอยู่กับฝรั่งให้เยอะที่สุด ลอกมันมา
เพราะโดนกดดันด้วยสภาวะแวดล้อม
2. ประสบการณ์ด้านการดำรงชีวิต ดีกว่า แบ่งเป็นหลาย กลุ่ม บางคนจากเด็กเกเร ลูกคุณหนู ต้องมาทำงานในร้านอาหาร ในมหาลัย มีความรับผิดชอบมากขึ้น เด็กพวกนี้ บ้านรวย อาจไม่เคยเจอความยากลำบาก ก็เลยต้องเอาตัวรอด และเริ่มเห็นคุณค่าของเงิน ถ้าเขาทำงาน แต่ก็ จะมีอีกพวกแบมือขอพ่อแม่ ไม่ทำอะไร เรียนอย่างเดียว เรียนจบก็ไปเบ่งกับคนอื่น ว่าตัวนั้น จบนอก  ขอบอกได้เลยว่า คนเมืองไทยที่เีรียนเมืองไทย ยังเก่งเรื่องการวิเคราะห์เหตุผลมากกว่า ทีเดียว  กลุ่มเด็กนักเรียนทุน อันนี้ เก่งของจริงครับ ขุนและบู้กันทีเดียว
3.การ ทำงานในอนาคต  โอกาสในการทำงานระดับอินเตอร์มากกว่า รายได้จะมากกว่า คนที่ไม่มีภาษาอังกฤษติดตัว ทุกอาชีพในโลก ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งจำเป็นในการติดต่อลื่อสาร ประเทศเรา ไม่ได้บนโลกคนเดียว ต้องทำเศรษฐกิจการค้ากับคนอื่น  ใครได้ภาษาก็ได้ระดับงานหน้าที่ได้สูงขึ้นนั่นเองในหลาย ๆ สาขาที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ

ถามว่า ถ้าผมมีครอบครัว ส่งลูกหลานมาเรียนเมืองนอกไหม ตอบได้ว่า ส่งแน่นอน ถ้าเขาไม่ได้คิดเป็นหมอที่เมืองไทยนะ (หมอเมืองนอกเป็นยากมาก ต้องเรียน ป.ตรี วิทยาศาสตร์ ให้โคตรเก่งก่อน จึงเข้าเรียนต่อหมอได้) ถ้าได้ที่ไทย เรียนที่ไทยเถอะระดับเทพ  ส่วน สาขาื่อื่นแนะนำ ให้เรียนเมืองนอก ถ้ามีกะตางค์ส่งนะ แต่ได้ทุนก็ดีกันไป โดยจะต้องให้เรียนภาษากันที่ไทยตั้งแต่เด็กเลยล่ะ   ม.ปลาย อาจจะให้มาเรียนที่นี่ ป.ตรี ก็เรียนเมืองนอกนี่แหละไม่ต้องเรียนโท หรอก ถ้าทำงานเมืองนอกเพียงพอ เรียนโท เอก แล้วคุณสมบัติเกิน ส่วนเขาจะกลับไปทำงานที่ไหน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะ ถ้าคุณจะทำงานเมืองนอก จบเมืองไทยพวกเขาไม่รู้จักหรอก บ้านใครบ้านมัน ว่างั้นเถอะ นอกจากโดนส่งมาจากบริษัทสาขาเมืองไทยนั้น อีกเรื่อง ส่วนรายได้ก็แตกต่างกันแล้ว   เด็กไทยบางคนจบเมืองนอกก็ไม่กลับกัน เพราะ รับเงินเดือนเริ่มต้นกันไม่ได้ ถ้าสามารถหางานทำได้ หรือ จะกลับไปทำงานเมืองไทย ก็อยู่ระดับแนวหน้าขององค์กรได้อย่างแน่นอน ค่าจ้างเหนือระดับ น่าจะประทับใจ  ถ้าไม่ใช่ พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ ลูกคุณหนู หรือ พวกไม่รู้จักชื่อพ่อตัวเอง " รู้ไหมว่า กรู ลูก ใคร" เพราะต้องยอมรับว่า การให้ศึกษา เป็น การลงทุนของชีวิตพื้นฐาน โดยเฉพาะ โลกยุคไร้พรมแดน นั่นเอง

No comments:

Post a Comment