North america

Global Trading Investment Knowledge in Stock Markets : USA (Dow Jones, Nasdaq), Canada (TSX), Thailand(SET)

Sunday, October 23, 2011

กลยุทธ์ลงทุนแบบหาจังหวะ ซื้อ-ขาย ด้วยด้วยความเข้าใจในความเสี่ยง ( High Risk High Return High Reward Low risk)


วันหยุด วันจันทร์ ที่ 23  ตุลาคม วันว่างแบบไม่สบายใจ ขอเขียน Blog ให้ความรู้ ให้มีคุณค่า แม้ไม่ได้ออกไปช่วยพี่น้องเดือดร้อน ขณะรอน้ำท่วมบ้านในพื้นที่เสี่ยงแบบคนเดียว ก่อนที่ต้องสละบ้านอีกหลัง น้องชายคนรองไปประจำเรือรบภาคใต้ น้องชายคนเล็กติดเกาะ น้ำท่วมบ้าน ต่างจังหวัด จัดเต็ม สูญเสีย ดูข่าวทีวี เป็นภาพที่น่าหดหู่กับเหลือขนาด  ทำให้คิดได้ว่า "คนไทยเวลาสงบ เรารบกันเอง  พอยามลำบาก เราช่วยเหลือกัน" ...คำถาม คือ ทำไมเวลาสงบ เราไม่ช่วยกันมากกว่านี้ ...นี่คือ นิสัยของคนไทย ไม่ว่า จะในประเทศ หรือ ต่างประเทศ ก็ตามที่ผมได้สัมผัสมาในต่างแดน  ประเทศเราคงพัฒนาไปได้มากกว่า นี้ คนเก่งไม่น้อย เยอะทีเดียว บางคนเรียนจบต่างประเทศ เท่าฝรั่ง เรียนก็ไม่ได้แพ้กัน ..."แต่ขาดความสามัคคี และ ไม่รู้จักให้มากกว่ารับเพียงเท่านั้น"   บทเรียนหลายครั้ง แต่ สุดท้ายไม่ได้นำมาคิดกัน เพราะ คนไทยลืมง่าย กันนั่นเอง ไม่จำบทเรียนในอดีตมาแก้ไขอนาคต ...เปรียบเทียบนิสัย การทำงาน ระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่น แตกต่างกัน ที่สัมผัสมา พวกเขาแก้ปัญหาที่สาเหตุ  ไม่ใช่ปลายเหตุ หรือ แบบขอไปที    ก็เหมือนการลงทุน  ใครที่ยังลงทุนไม่ได้ผลตอบแทนที่ดี เพราะ ว่าคุณไม่ได้แก้ปัญหาที่สาเหตุ  ...ลงทุนไปเถอะครับ ไม่เปลี่ยน ไม่แก้ไขความรู้ แนวความทัศนคติคิดไม่ถูก ไม่มีการวางแผน ไม่มีระเบียบวินัย อย่างไรผลตอบแทนที่ได้ ไม่สามารถออกมาดี ตามข้อความ


"The majority of traders fail and lose all their money in the first year!

 They fail for these reasons:

 They do not have knowledge.
 They do not have a plan.
 They do not have discipline"

สอนหนังสือไปครบ 100 คน ไม่ฟรีก็จริง ทำกองทุนช่วยการศึกษาเด็ก สอนฟรีก็มี สอนเพื่อน สอนน้องที่ขาดทุน ก็ด้วยหลายคน ให้ความรู้ ระบบนำทางในการลงทุน คนที่เรียนไปจะลงทุนในหุ้นที่ดี ที่มีสภาพคล่อง ด้วยสามารถวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยตัวเอง และ สามารถวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยโปรแกรม ความสามารลงทุนได้ทั้งขาขึ้นและขาลง (Long-Short) ได้เท่าฝรั่ง กองทุน โบรค คนที่ผ่านการสอน ความสามารถทำได้ เพียงคิดกลับด้าน เพียงจะนำไปใช้อย่างไร แบบไหน เพียงเท่านั้น  ทำไมต้อง เลือกหุ้นดีดี ด้วยวิเคราะห์พื้นฐานก่อน  แล้ว ต้องวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยตัวเองได้ แล้ว วิเคราะห์ด้วยโปรแกรมเพื่อตัดอารมณ์ออกไป ซึ่งสองแบบจะได้จุดซื้อ จุดขาย ที่ไม่ต่างกัน   คำตอบ  คือ ลดความเสี่ยงลงให้มากที่สุดนั่นเอง  เพราะตลาดหุ้นเป็นการลงทุนแบบ High Risk High Return  เมื่อความเสี่ยงลดลง จะนำผลตอบแทนที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน (ก็อาจมีผิดพลาดบ้าง แต่ก็ยังดีที่ได้ลงความเสี่ยงไป) ระบบ Set Indicators ที่สอนให้ไป สามารถลงทุนโดยใช้ Technical analysis ลงทุนได้ทั้งขาขึ้นและขาลง   ปิดประตูลงทุนแบบขาดทุน  เคยบอก ผู้เรียนไปว่า  ถ้ายังลงทุนขาดทุนในภาพรวม มาเอาค่าเรียนคืนไป จะคืนให้หมด ได้สอนวิธีขับรถให้ อยู่ที่เลือกรถถูกคันหรือไม่ เหยียบเบรค ถอยหลังบ้าง ขยันดูแผนที่ มีบุญ ทำบุญ หรือไม่


มาเรียนรู้การลงทุนกันว่า มีอะไรบ้างที่ เสี่ยง (Risk) แบบไหนเสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย มีผลกับ ผลตอบแทน (Return) อย่างไร


จะเห็นได้ว่า  การลงทุนในหุ้นนั้น เสี่ยงที่สุด แ่ต่ ผลตอบแทนมากที่สุด เมื่อเทียบกับ การลงทุนในแบบอื่นๆ ทำอย่างไร จึงได้ผลตอบแทนที่ดี  ก็คือ "หาวิธีลดความเสี่ยงลง" ในทุกด้านนั่นเอง แบบ High reward Low risk  ผลตอบแทนที่ดี ความเสี่ยงต่ำ ตามภาพความสัมพันธ์ Reward-Riskด้านล่าง



ตัวอย่าง   หุ้นไทย  BGH -High risk High return - High risk High reward


จะเห็นว่า การลงทุนในช่วงระยะเวลา แตกต่างกัน และ ผลตอบแทนแตกต่างกัน  หาเราเรียนรู้การอ่านสัญญานซื้อ ขาย ด้วยความสามารถวิเคราะห์ด้วยตัวเองได้ เราสามารถลดความเสี่ยงลงได้ เพื่อให้ผลตอบแทนของเราดีขึ้น ลงทุนช้าเพียงไม่กี่วัน จะทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนมากขึ้นตามลำดับ รอจังหวะเวลาที่เหมาะสม ถ้าเรารู้ว่า วันที่เราลงทุน เราอยู่จุดไหน  เราก็สามารถเข้าเสี่ยงลงทุนได้โดยมีการวางแผน Stop loss ตามข้อมูลปัจจุบัน ถ้าหุ้นขึ้น จะได้ผลตอบแทนที่ดี  ถ้าหุ้นลงก็ต้อง Stop loss ตามระเบียบวินัยเพื่อรักษาต้นทุนก่อน ที่สำคัญกว่าการทำกำไร

มาดูการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม Metastock อัตโนมัติกันบ้าง


จะเห็นว่า การใช้โปรแกรมวิเคราะห์อัตโนมัติ โดยตัดอารมณ์ออกไป แล้วเข้าเสี่ยงลงทุนสามารถ ใช้ลดความเสี่ยงได้อีกระดับ นำมาซึ่งผลตอบแทนที่ดีมากขึ้นได้


หุ้นต่างประเทศ  Microsoft (MSFT)




จะเห็นได้ว่า  การลงทุนในต่างประเทศ ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น ไกลตัวก็จริง แต่สามารถลดความเสี่ยงด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยได้ สามารถทำผลตอบแทนการลงทุนที่ดีขึ้น ไม่มากก็น้อยตามช่วงเวลาและความเสี่ยงด้วยเช่นกัน

บทสรุป       การลงทุนในตลาดหุ้น มีความเสี่ยงในการลงทุนสูง แต่ มีผลตอบแทนสูงสุด เพียงแต่เราต้องมีความรู้และความเข้าใจในการลงทุนที่ดี แต่หากว่า เราจะสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดี  เราจะต้องลดความเสี่ยงก่อน แนวทางการลงทุนก็คือ  เลือกลงทุนในหุ้นที่ดี มีสภาพคล่อง มี Story มีบันผลสูงยิ่งดี มี Demand ด้วยการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน และ หาจุดซื้อ จุดขาย ด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยตัวเอง และ โปรแกรมวิเคราะห์อัตโนมัติ เพื่อลดความเสี่ยงอีกขั้น จะสามารถนำผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีได้  High Risk High Return  ก็จริง High Reward  Low Risk  คือ แนวทางที่เราใช้ในการลงทุนที่ดี ที่ตามเป้าหมายที่เราต้องการ


Tuesday, October 11, 2011

เทคนิคการลงทุนด้วย RSI อะไรที่ซื้อมากเกินไป ต้องระวัง อะไรที่ขายมากเกินไป ต้องเตรียมพร้อมซื้อ


   สอนหนังสือครบ 80 คนแล้วครับ มีทั้ง พี่น้อง หมอ วิศวกร อาจารย์ นักการเงิน เจ้าของธุรกิจ กับอีกหลายอาชีพ (ไม่น่าเชื่อตัวเอง ว่าจะมีคนมาเรียนกันขนาดนี้ ) กับ การถ่ายทอดวิชา "Technical VI  วิเคราะห์พื้นฐานเป็นเกราะ  วิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นอาวุธ"  หลายก็มีคนขาดทุนมาก็มี มีผลตอบแทนที่ยังไม่ดี ลงทุนยังไม่ค่อยเป็นระบบ มือใหม่ก็มี คงได้ความรู้ที่เป็นระบบในการลงทุนที่ดีด้วยหลักการ Technical analysis เป็นเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจและช่วยในการบริหารพอร์ตให้ดีขึ้น ทั้ง วิเคราะห์ด้วยตัวเองและโปรแกรมอัตโนมัติ  ที่ สอนให้ด้วยความเข้าใจ ....ไม่ได้สอนให้จำ..สอนให้ลองทำจริง ทุกอย่างมีที่มา ที่ไป..มีเหตุมีผล  ดีใจที่ความรู้ติดตัว มีประโยชน์ คงช่วยหลายคนลงทุนได้ดีขึ้น ไม่มากก็น้อย ...ขอบคุณที่เชื่อใจว่า สอนให้ได้  รู้สึกว่า "ชีวิตนึ้มีคุณค่ามากขึ้นทีเดียว"

หลายคน อยากเล่น Options หุ้นตปท  ลงทุนหุ้น ตปท  FOREX  TFEX GF ...หรือ แม้กระทั่้ง ลงทุนหุ้นไทย   ลงทุนได้หมดแต่ต้องฝึกฝน ..พื้นฐานที่ต้องเรียนรู้ คือ  Technical analysis  ก่อน ผมสอนวิชา Technical analysis ให้ แล้วแต่จะไปใช้ที่ไหน อย่างไร แบบไหน ขึ้นกลับตัวคุณเองแล้ว เลือก รถถูกคันหรือไม่ แต่ วิธีขับเหมือนกัน ว่าเหมาะสมกับ Life styles ของคุณไหม คู่แข่งคุณคือใคร  ไม่ใช่ใคร คือ เหล่าคนที่ใช้เทคนิคคอล ทั้งนั้น เช่น ฝรั่ง (ฝรั่งเขาใช้ Technical ครับ ไม่ได้หวังการเติบโตที่แท้จริง เขาหวังกำไรกันอย่างเดียวครับ) กองทุน โบรคเกอร์ พอร์พเทรด ...หรือ เจ้า ...ถ้าคุณไม่เรียนรู้ บอกได้เลยว่า คุณลงทุนด้วยความเสี่ยงแล้วละครับ ทำไมนะหรือ ...คุณไม่มีความรู้ในการลงทุน ป้องกันตัวเอง เลย...เรียนรู้เขาว่า คนพวกนี้คิดอย่างไร เขาใช้วิธี คิดอย่างไร เอากำไรไปจากคุณได้อย่างไร เรียนรู้ความคิดของคู่แข่ง ..ใครมีความรู้เหนือกว่า จะเป็นผู้ที่มีกำไีรในสนามการลงทุน Zero Sum Game "รู้เขารู้เรา รบร้อย อาจชนะร้อย"

อะไรที่ซื้อมากเกินไป ให้ระวังเตรียมขาย  อะไรที่ขายมากเกินไป ให้เตรียมพร้อมเข้าซื้อ กับ RSI  เกี่ยวกันอย่างไรกับ การเรียนรู้ Technical analysis กัน มีคำตอบ

มาเข้าใจ  RSI  คืออะไร


"The Relative Strength Index (RSI) is a momentum oscillator that measures the speed and change of price movements. RSI oscillates between zero and 100. Traditionally, RSI is considered overbought when above 70 and oversold when below 30.  RSI can also be used to identify the general trend."

แปลคร่าวๆ ว่า RSI คือ การแกว่งแบบโมเมนตัม ที่ วัดความเร็ว และ การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของราคา  RSI แกว่งระหว่าง 0 ถึง 100 โดยทั่วไป RSI จะถูกนำมาพิจารณา ขอบเขตซื้อมากเกินไป เมื่อ ค่าเหนือกว่า 70 และ ขายมากเกินไป เมื่อ ค่าต่ำกว่า 30.  RSI สามารถใช้ระบุแนวโน้มราคาทั่วไปได้อีกด้วย

RSI นอกจากจะเป็น สัญญานที่เตือน เรา ว่า มีคนซื้อมากเกินไปแล้ว (RSI > 70 ) เราต้องระวัง ....แต่ไม่ใช่สัญญานขายนะครับ  อย่าเข้าใจผิด  ในทางกลับกับ  ยังใช้เป็น สัญญานเตือน เราว่า มีคนขายมากเกินไป (RSI < 30) เราต้องเตรียมพร้อมเข้าซื้อ ...แต่ ก็ยังไม่ใช่สัญญานซื้อนะครับ  อย่าเข้าใจผิด  ต้องดูสัญญานอื่นประกอบด้วย  ...ถ้าเราไม่เรียนรู้สัญญานทางเทคนิคคอล แบบง่าย เช่น RSI  จะรู้ได้อย่างไร ว่า  หุ้นตัวนี้ มีคนซื้อมากไป .....คนซื้อมากไป  ..ให้ระวังเพราะอะไร  ก็ตอบง่ายๆ ก็ เขาพร้อมจะขายแล้วไง เขาซื้อนานแล้ว พร้อมขาย ถ้าไม่มี สัญญานเทคนิคดู จะรู้ได้อย่างไร จริงไหมครับ  เช่นเดียวกับ หุ้นตัวนี้ มีคนขายมากไป .....คนขายมากไป  ..ให้เตรียมซื้อเพราะอะไร  ก็ตอบง่ายๆ ก็ จะมีพร้อมจะซื้อแล้ว ราคาลงมามากแล้ว ของมันเริ่มถูกไง ถ้าไม่มี สัญญานเทคนิคดู เราจะรู้ได้อย่างไร (คิดเอาเองคงไม่ได้นะครับ) ...คนจะขาย Demand จะลดลง หุ้นจะปรับตัวลงแล้ว ต้องพึงระวัง ไม่งั้นติดดอยสูง  คนจะซื้อจะเริ่มมี Demand หุ้น จะปรับตัวขึ้นไงครับ จะได้ไม่ตกรถ ไปกับเขาด้วยคน .....อ้าว แล้ว ทำไมเป็นแบบนั้น ฝรั่ง กองทุน โบรค เขารู้  เขาก็ขาย ก็ซื้อกัน เหมือนกันทั้งโลก ก็แบบ เรียนโรงเรียนเดียวกัน ทฏษฎีเดียวกัน Textbook อาจจะเล่มเดียวกัน มันก็เป็นแบบนี้ไงครับ เลยเป็นไปตามการแกว่งตัวเป็น รอบ รอบ ของการเคลื่อนที่ของราคาไงครับ  มาดูตัวอย่างกัน 

หุ้นต่างประเทศ  Gold SPFR ETFs :GLD


 หุ้น Gold  จะเห็นว่า ช่วง Overbought Zone (RSI > 70)  ราคาได้ปรับตัวขึ้นอย่างมากมาย คนซื้อเยอะ เพื่อนก็เยอะ พร้อมขาย ดังนั้น ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน หรือ การป้องกันกำไร ด้วยการตั้ง Stop order ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ป้องกันกำไรเราไว้ เมื่อใดก็ตามที่ ราคาตกลงมา ให้ขายให้เราทันที ลงทุนด้วยความประมาท ..ตัวนี้เพื่อนให้ไล่ซื้อเพิ่ม ตอน Gold 1,800$/oz  เลยบอกว่า เดี๋ยวราคาก็ปรับตัวลงมา ไม่ซื้อเพิ่ม เพราะ คนซื้อเยอะแล้ว  อะไรที่คนซื้อเยอะแล้ว ต้องให้ระวัง อะไรที่คนคิดเหมือนกัน ก็ต้องลงทุนด้วยความระวังให้มาก  ( 90% คนคิดเหมือนกัน อีก 10% คนคิดไม่เหมือนกัน จะรอด) ในตลาด ฝรั่ง ก็มีความโลภแล้ว การเก็งกำไร ไม่ได้ต่างกัน  ทางเดียวที่ทำได้ คือ ลงทุนด้วยความไม่ประมาท ส่วน ช่วง Oversold ( RSI < 30) ให้เตรียมความพร้อมเข้าซื้อ รอสัญญานทางเทคนิคในจุดที่มั่นใจ ก่อน


หุ้นไทย : AJ


หุ้นไทย :PTL


หุ้น AJ,PTL ทั้งสองตัว นี่ คนติดดอยกันไม่น้อยนะครับ ไล่ซื้อตามกัน บางคนไม่ได้ดูสัญญานเทคนิคกันเลย ว่า เขาซื้อกันเยอะเพียงไหนแล้ว ตาม ตาม กันไปบนยอดดอย (Overbought Zone,RSI > 70) ต้องเพิ่มการระวังในการลงทุน ไม่ได้เชื่อโบรคกันอย่างเดียว (เหมือนผม สมัยเล่นหุ้นไทยแรกๆ)  รู้งี้ รู้งี้ อีกแล้ว ถ้ารู้ก่อน จะจะไม่ได้อยู่บนดอย ส่วน ช่วง Oversold ,RSI < 30  ต้องเตรียมพร้อมในการเข้าซื้อ ถ้าใครยังไม่มีหุ้น ...หุ้นแบบนี้ เสีย Story คนติดเยอะ คนจะขายกันทุกราคา แต่พอทำจะกำไรได้บ้าง ราคาจะกลับสู่ราคาเดิมยากมาก ตามหลัก Fibonacci ที่จะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาขึ้นจะเจอแนวต้านหลายด่านทีเดียว

บทสรุป  RSI สามารถช่วยในการเตือนการลงทุนด้วยความระมัดระวัง และ ช่วยเตรียมความพร้อมในการลงทุน ยังสามารถบอกทิศทางการเคลื่อนที่แนวโน้มของราคาได้อีกด้วย (ไม่ใช่สัญญานให้ ซื้อ ขาย นะครับ จะต้องดู Indicators อื่นๆ ประกอบด้วย) นอกจากนี้  RSI เป็น Indicator ที่ดี สามารถช่วยยืนยันสัญญานซื้อ ขาย ร่วมกับ Indicators อื่น หรือ ช่วยดูการปรับตัวของราคาแบบ Divergence ได้ หรือ ตี Trend Line break out ที่ถูกต้องด้วย  ถ้าเราไม่ได้ดูสัญญานเทคนิค เราจะไม่รู้อารมณ์ตลาด ปริมาณคนซื้อไปเยอะ หรือยัง แนวโน้มการปรับตัวของราคา ให้ลงทุนด้วยความไม่ประมาท มากขึ้น ไม่ได้บอกว่า แม่น หรือ ไม่แม่น แต่ เป็น สัญญานหนึ่งในการบริหารการลงทุน ด้วยข้อมูลปัจจุบันร่วมกับอดีต  ดีกว่า ลงทุนแบบไม่รู้อะไรเลย ว่า เราต้องลงทุนอย่างไร ด้วยความไม่ประมาท เพียงแต่วันนี้ เขียนประโยชน์ของ RSI ในเพียงมุมมองหนึ่ง (ยังมีอีกหลายมุมมอง) "อะไรที่ซื้อมากเกินไป ต้องระวัง อะไรที่ขายมากเกินไป ต้องเตรียมพร้อมซื้อ"  จะช่วยให้เราลงทุนด้วยความระมัดระวังและ มีความพร้อมในการลงทุนที่ดีมากขึ้น


Monday, October 3, 2011

กลยุุทธ์การลงทุน ตามผู้ซื้อรายใหญ่สะสม (NVDR) ทำกำไรได้ สบาย สบาย


กลยุุทธ์การลงทุน ตามผู้ซื้อรายใหญ่สะสม  มีกำไรได้ สบาย สบาย  ทำได้อย่างไร ลงทุนดูอย่างไร มีคำตอบให้ครับ  ซื้อ ตาม ตามเขาไป ได้กำไร ไม่ยาก .....

อย่างแรกที่ เราต้องเข้าใจว่า  หุ้นขึ้น หุ้นลงด้วยสาเหตุอะไร ...บางคนถามว่า ซื้อหุ้นพื้นฐานดี P/E ต่ำ  P/BV ก็ต่ำ  ทำไมหุ้น ไม่วิ่ง ไม่ไปไหน ....คำตอบก็ คือ  หุ้นตัวนั้น พื้นฐานดีก็จริง แต่ไม่มีคนต้องการซื้อ สิครับ  หุ้นจะขึ้นได้ ต้องมีความต้องการ หรือ ที่เข้าใจว่า Demand > Supply  ในหลักเศรษฐศาสตร์ข้อแรกนั่นเอง  (มีสอนนะครับ ในมหาวิทยาลัย แทบจะทุกคณะ สายวิดวะ ป.ตรี ก็มีเรียนครับ จำได้ น่าจะปี 1 นานมาก ป.โท ก็มีครับ แต่เป็นแนวการจัดการ ก็หลักการเดียวกัน ....ลงทุนในหุ้น ก็เหมือนกัน )

Demand VS Supply


 ความต้องการมาจากไหน Why Why Analysis ในการวิเคราะห์ปัญหา ไปเรื่อยๆ จะมีค้นพบคำตอบให้

หุ้นจะขึ้นได้ ต้องมี Demand ...ฝรั่งเข้า เจ้าปั่น VI ซื้อ แมงเม่าซื้อ NVDR สะสม 

เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ  NVDR คืออะไร ไม่เห็นรู้จักเลย  NVDR เป็น บริษัทหนึ่งที่เก็บหุ้น ซื้อ ขาย ให้นักลงทุนที่ต้องการลงทุนหุ้นตัวนั้น เป็นตัวกลาง หรือ ใส้ในอาจจะเป็นพี่หรั่งเรานี่เอง ผ่านมาทางนี้ 

"เอ็นวีดีอาร์ คืออะไร

เอ็นวีดีอาร์หรือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย เป็นตราสารที่ออกโดยบริษัทที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้น ซึ่งคือ "บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด" (Thai NVDR Company Limited) เอ็นวีดีอาร์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนโดยอัตโนมัติ (Automatic List) วัตถุประสงค์หลักของเอ็นวีดีอาร์ คือเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดหลักทรัพย์และเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนชาวต่างประเทศ ที่สนใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนแต่อาจไม่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์นั้นได้ อันเนื่องมาจากการควบคุมสัดส่วนการถือครองหหลักทรัพย์ของคนต่างด้าวที่ระบุไว้ตามกฎหมายไทย ดังนั้น เอ็นวีดีอาร์ จึงเป็นอีกทางเลือกให้กับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหลักทรัพย์นั้น ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางการเงิน เช่น เงินปันผล และสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียน แต่ผู้ถือเอ็นวีดีอาร์จะไม่มีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมของบริษัทจดทะเบียน (Non-Voting Rights) อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเอ็นวีดีอาร์จะออกมาเพื่อส่งเสริมการลงทุนของผู้ลงทุนชาวต่างประเทศ แต่ผู้ลงทุนไทยก็สามารถลงทุนในเอ็นวีดีอาร์ได้

ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถซื้อขายเอ็นวีดีอาร์ได้เช่นเดียวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วไปที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

หลักทรัพย์อ้างอิง

    หุ้นสามัญ
    หุ้นบุริมสิทธิ์
    ใบสำคัญแสดงสิทธิ
    ใบแสดงสิทธิ์ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ "



อ่านเพิ่มเติมที่นี่ : http://www.set.or.th/nvdr/th/about/whatis.html

ระบบซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ เป็น ระบบ Bid-Offer  หุ้นจะขึ้นได้ จะต้องมีคนซื้อ ซื้อหุ้นที่ราคา Offer หมดถึงจะขึ้นไปตามช่อง หรือ ระดับขั้น  ถ้ามาคนเก็บสะสม แสดงว่า หุ้น มีความน่าจะเป็น ที่หุ้นจะขึ้นใช่ไหมครับ

มาดูกันว่า ทำได้อย่างไร จะสังเกตได้อย่างไร นักลงทุนที่วิเคราะห์ทางเทคนิค ส่วนมาก ก็ใช้ Indicators หลายตัว เช่น EMAs,RSI,MACD,SSTO เป็นต้น แต่ Indicators ที่เป็น NVDR Volume ไม่ควรละเลยเลยนะครับ

ตลาดหุ้นไทย เป็น ตลาดที่เล็กไม่สมบูรณ์ ถ้าเข้าใจระบบ สามารถลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีได้ เปรียบเหมือน ผู้เล่น 4 คน  ฝรั่ง โบรคเกอร์  กองทุน และ สถาบันแมงเม่า ขนาดของเงินลงทุนก็แตกต่างกัน  หุ่นจะขึ้น ต้องมีอะไรที่รวมกันแล้วมากกว่า ที่สามารถนำตลาดขึ้นไปได้ .....ฝรั่งไม่ซื้อ  โบรคขาย  กองทุนขาย  แมงเม่าซื้อ  SET จะขึ้นได้ไหมละครับ  จริงไหม

ช่วงนี้ ลงทุนยาก เป็นช่วงขาลง จะซื้อหุ้นให้ขึ้นต้องมีความแข็งกว่าตลาด แข็งกว่ายังไงครับ ก็ SET ลง แต่ หุ้นที่เราถือ ไม่ลงนะสิ หรือ ลงน้อยกว่า % การลงของตลาด

มาดูตัวอย่างกันครับ  (หุ้นต่างประเทศ ไม่มีครับ  ยกตัวอย่างเฉพาะ หุ้นไทย)

หุ้นไทย : ADVANC


จะเห็นว่า  NVDR มีการสะสมหุ้น (แม้ว่า SET จะตก แดง แดง แดง หลายวัน) เพิ่มเริ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาเรียกว่า Demand  หุ้นที่ซื้ออย่างไร ก็มีโอกาสขึ้น รับวันที่เขาตกใจ ให้รับวันเขียว ว่ามีแรงซื้อ มากกว่า แรงขาย  แท่งเทียนจะเป็นสีเขียวนะ  เพียงไม่กี่วัน สามารถ มีผลตอบแทนได้  6.7% ไม่กี่วัน ถือว่า ใช้ได้ทีเดียว


หุ้นไืืทย : SCC


จากตัวอย่าง NVDR เริ่มขาย จำนวนการสะสมน้อยลง แสดงว่า Demand ลดลงแล้ว หุ้นถูกขายโดย NVDR Demand ลง เขาขายหุ้นทุกราคา ราคาหุ้นจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ขาดทุนกันเลยครับ ใคร คิดว่า หุ้นตัวเองดีอยู่ถือไปครับ เป็นผม ขายทำกำไร เข้ากระเป๋า ไปก่อนแล้วมา รอซื้อใหม่ ตอนราคาถูกใหม่ เพราะ เรารู้ว่าเป็น หุ้นดี แต่ วงจรชีวิตเป็นรอบ ไปตาม หลัก Demand Supply นั่นเอง

บทสรุป    หลัก Demand Supply เป็นพื้นฐานของการปรับตัวของราคา ซื้อไปตาม Fundflow ของฝรั่ง  ตามการสะสมของ NVDR  เป็นเหาฉลาม ตามคลื่นน้ำไปได้ครับ เงินลงทุนเราไม่เยอะ กว่า นักลงทุนรายใหญ่ ทางหนึ่งที่จะได้ผลตอบแทนที่ดี ต้องมีหลักการ ระบบที่ดีในการลงทุน เกาะติดตามไปตามเขา แต่ ต้องอ่านเทรนให้ออก มีเครื่องมือ Indicators ที่ดี ช่วยในการลงทุน เหมือน ไปตามน้ำป่ามา อย่าไปว่ายทวนน้ำ อย่าไปฝืนระบบครับ ....อ่านหนังสือ  คิดอยากจะเป็น "ชาวสวน" แต่อย่างเดียว ไม่ได้ ต้องรอจังหวะ ที่เหมาะสมด้วยนะ ดูสถานะการณ์ ด้วยครับ  ถ้าเราเข้าใจหลักการทางเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นแล้ว จะช่วยในการลงทุนได้อย่างดี ...."วิเคราะห์พื้นฐานเป็นเกราะ วิเคราะห์เทคนิคเป็นอาวุธ"   จะช่วยการลงทุนคุณ ให้ผลตอบแทนดีขึ้นได้