การลงทุนในหุ้นเหมือนการทำธุรกิจ แต่ ไม่ได้ทำเอง ฝากผู้อื่นเขาทำ หุ้นแต่ละตัว จะมี Business Cycle ของแต่ละธุรกิจอยู่ ซึ่งหมายถึง การเติบโตของหุ้นในแต่ละเวลา นั้น ระยะเวลาไม่เท่ากัน ไม่ใช่เวลาเดียวกัน จะลงทุนอย่างไร ในเวลาจำกัีดให้พอร์ตเราโตมากขึ้น หรือ เรียกว่า การลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นเอง เราต้องมีตัววัด KPI (Key Performance Index) ที่ชัดเจน หลายคน คุ้นหู คำนี้ มีใช้ใน บริษัท เรานี่นา ....แต่ ไม่เคยนำมาใช้กับ "บริษัทตัวเอง" หมายถึง การวัดประสิทธิภาพของระบบการลงทุนของตัวเรานั่นเอง ..บทนำ ปล่อยให้สงสัยสักระยะ ว่าจะทำอย่างไร
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ พี่น้องที่ช่วยโหวต Blog ทะลุแนวต้าน ลำดับ 10 ให้ครับ ทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะ รู้ว่า มีรางวัลที่ 1-3 ไม่ได้หวังสิ่งของอะไร รู้อยู่แล้วครับ ว่าไม่ได้ แต่ รางวัลผม คือ "กำลังใจ" ต่างหาก เขียนแล้ว ผู้อ่านมีประโยชน์ มีแนวคิดเพิ่มในการลงทุน มีคนชอบบ้าง หรือไม่อย่างไร ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง จริง จะถ่ายทอดประสบการณ์ เล็กน้อย ให้อ่านเล่น ขำ ขำ กันต่อไป
วันว่าง เสาร์ ที่ผ่านมาได้ สอน Stop working Class ลำดับที่ 37-40 มี อาจารย์ ดร. การเงิน หลักสูตรนานาชาติ มีชื่อเสียง มาเรียนด้วย ปลื้มใจมาก ไม่เคยสอน ดร. ครับ พี่ ดร อยากศึกษาด้านเทคนิคคอล เพื่อเป็นกลยุทธ์เพิ่มในการลงทุน ถามว่า ผมจะสอนพี่ได้หรือ (สอน ดร. ไม่เคย จริง จริง) พี่เขาตอบว่า "ความคิดต่างหากที่สำคัญ" (ตอบแบบนี้ ต้นแบบยอดคนเลยครับ สวดยวดมาก) ขอบคุณมากที่เชื่อว่า ว่าผมสอนให้ได้ เลยได้แลกเปลี่ยนการลงทุนตลาด ต่างประเทศ เพิ่มกัน ตลาด Hungseng ของ Hongkong ซึ่งผมมีพอร์ต HSBC อยู่ก็ลงทุนได้ แต่ เพียงขาดความรู้ ไม่ใช่สนามที่ถนัด ต้องลงทุนด้วยความระวัง ต้องมีความรู้เสียก่อน ถึงแม้หลักการลงทุน ไม่ได้แตกต่างกัน แตกต่างกันเพียงปัจจัยตลาด จึงลองใช้ Metastock ดาวน์โหลดข้อมูลหุ้น Hongkong ตัวแรก ที่วิเคราะห์แบบอัตโนมัติให้ชมว่า ทำได้ และคงต้องใช้เวลาศึกษากันสักระยะ ซึ่งจัดอยู่ในแผนงานการลงทุน
หุ้น Hongkong วิเคราะห์ด้วยโปรแกรม Metastock
ส่วนตัว มองว่า Fund flow จะคงอยู่ในตลาดเอเชียบ้านเรา ถ้ามีความรู้ในการลงทุน นอกจาก ตลาด SET บ้านเรา ที่โซนเวลาใกล้เคียงกัน ก็เป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนที่ดี ของซีกโลกตะวันออก ในตอนกลางวัน ที่ไม่เลวทีเดียว เลยขอเปลี่ยนชื่อ Blog จากเดิม Stock Investment in North America มาเป็น "Stock Investment in Global Markets" ทางฝั่งโซนอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะ USA มีปัญหา ถามว่า จะไปลงทุนกันทำไม (รอจังหวะ สิครับ เก็บของถูกแบบ Subprime 2008 รอบที่แล้ว ช่วยลุงบัพฟ์ ทำงานกันหน่อย เก็บของดี ของถูก ลงทุนความรู้ก่อน มีความรู้อยู่กับตัว ลงทุนเมื่อไหร่ รอจังหวะ ลงทุนที่ไหนก็ได้ Around the World Anywhere Anytime ยังมีเวลา 30 ปี รอได้ ไม่มีรอบใหม่ให้รู้ไป) ส่วนตัวลงทุนโซนอเมริกาเหนือลงทุนบันผลรายเดือน หุ้น Common stocks ของ Canada ครับ คนมี ระเบียบ วินัย กฏหมาย ดีมากกว่า แถม Canada เครดิตยังเป็น AAA ครับ ยังมั่นใจได้ ถึงจะมีผลกระทบกันบ้าง เพราะ USA กับ Canada ทำการค้าระหว่างกัน ส่วนพวก Gold Silver ETFs จะอยู่ในตลาด USA (ช่วงนี้กลับมาอยู่เมืองไทยเลยลงทุน ตลาดหุ้นไทย มากนิด เพิ่งเปิด พอร์ต Margin, Short Sales, TFEX, Gold Silver Futures ความพร้อมเรียบร้อย เล่นตามจังหวะ เหมาะสมเลยเปลี่ยนชื่อ Blog ตามการลงทุน แต่ Fan page เปลียนไม่ได้ คงไว้ชื่อเดิม )
ส่วนพี่อีก 3 คน เป็น เจ้าของกิจการเม็ดพลาสติก พี่เศรษฐศาสตร์ และ พี่ ผจก Hundai ลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว แต่มาศึกษาด้านเทคนิคคอลเพิ่ม เพื่อลงทุนให้มีประสิทธิภาพ (%Efficiency) มากกว่าเดิม (อะ ลงทุนต้องให้มีประสิทธิภาพด้วย เหรอ ...ก็เวลา มีทุกคนจำกัดนะครับ แต่ ใครจะลงทุนได้งอกเงยมากกว่ากัน เมื่อเทียบกับเวลาที่เสียไป เขาเรียกว่า "ประสิทธิภาพ" นั้นเอง
ในการลงทุนต่างประเทศ สิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้ คือ การวิเคราะห์ทางพื้นฐาน เบื้องต้นในการเลือกหุ้นที่ดี มี Story การวิเคราะห์ทางเทคนิค ใช้ในการหาจุดเข้า หาจุดขายที่ดี โดยใช้กราฟทางเทคนิค ในการบริหารความเสี่ยงและการป้องกันกำไร ซึ่งมีความจำเป็นต้องเรียนรู้ก่อนการลงทุน ค่าเงินต่างประเทศแพงมากครับ ไม่ถูก ขาดทุนที่ ยู่ยี่แน่ แต่ เข้าถูกได้กำไีร อู่ฟู่ โปรแกรมเทรด เป็นตัวช่วยที่ดี รวมทั้งการเลือกระบบ และ การเซ็ต Indicators ที่ดี ต้องให้สามารถลดความเสี่ยง หรือ % การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มราคาอยู่ในช่วงที่ยอมรับได้ ต้องหามีระบบการลงทุนทางเทคนิคที่ดี เหมาะสม มีเหตุ มีผล หรือ ถ้าเชื่อซื้อตามโบรคเกอร์ เตรียมขาดทุนได้เช่นกัน ฝากเงินทองให้คนอื่นตัดสินใจ แต่ ไม่ยอมเรียนรู้ในการลงทุนด้วยตัวเอง (คุณต้องมีความรู้ สั่งโบรคเกอร์ครับ ไม่ใช่ให้เขาแนะนำคุณ...สั่งให้เขาขาย สั่งให้เขาซื้อ ขาย ตามจุดที่คุณดูจากกราฟเทคนิค เพื่อใช้ในการบริหารเงินทุนของคุณเอง เมื่อคุณไม่ว่าง) คิดจะออกลงทุนนอกประเทศ ค่าครูบนดอย แพงกว่า หุ้นบ้านเรามากนัก มันคือ "เงินเหรียญ $" นะครับจะหาว่า ไม่เตือนกัน (หุ้นต่างประเทศ ไม่ได้ หมูนะครับ ลงทุนได้ แต่ ต้องลงทุนอย่างมีระบบ และ ลดความเสี่ยงลงให้มากเท่าที่จะทำได้ มันไกลตัว ไกลทั้งข้อมูล ไม่เหมือนบ้านเรา )
มาเข้าเรื่องสักที Business Cycle มันเป็นอย่างไร มาเล่าให้ฟังกัน
ช่วงเวลาของ Business Cycle
การเปรียบเทียบ Business Cycle กับ Stock Market Cycle
Business Ownership Lifecycle ในแต่ละธุรกิจ
เจาะลงมาที่ Product Life Cycle
จะเห็นว่า แต่ละ ฺีBusiness ทั้งภาพใหญ่และเล็ก มี Cycle การเติบโตและช่วงถดถอย แม้กระทั้ง ตัวสินค้า (Products) ยังมีวงจรชีวิตของตัวมันเอง (ตัวเราเอง ยังมีวงจรชีวิดเหมือนกัน) ไม่มีหุ้นตัวไหน ราคาสูงขึ้นเป็นเส้นตรง ไม่มีย่อ ส่วนตรงไหน ที่เรียกว่า "Growth" ถ้าเราลงทุนจะมีกำไรจากการลงทุนที่สูง ช่วงถดถอย (Decline) เราก็ต้องถอนทุน เอาิเิงินไปลงทุนใน Business ที่กำลังเติบโต ไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเราเป็นนักลงทุน การเรียนรู้ทางเทคนิคคอล จากการอ่านกราฟช่วยบริหารลงทุนเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่างหากครับ ไม่ใช่ ว่า เทคนิคคอล แม่น หรือ ไม่แม่น ไม่ใช่ประเด็น มาชมตัวอย่างกัน
หุ้นต่างประเทศ Gold SPDR ETFs
เห็น Growth ด้วย กราฟทางเทคนิคแบบนี้ เป็น VI ที่ใช้ Technical analysis ที่เรียกว่า "Technical VI" เป็น จะขายไหมครับ ไม่มีของ ก็หาจังหวะเข้าตอนย่อ เก็บของถูกเพิ่มใช่ไหมครับ ....ไม่ใช่ไปซื้อทองแท่ง ซื้อขายกันตามราคา อย่างเดียว ไม่เห็นแนวโน้มของราคา ทำให้ลงทุน อาจจะขายหมู ไปมาเรื่อย หาจังหวะเข้า ออกไม่ดี จริงไหมครับ ถ้าดูกราฟทางเทคนิคเป็น จะลงทุนได้ดีมากขึ้นครับ เช่น ซื้อ Gold ETFs ปี 2009 ราคา 82$ ในระยะเวลา 2.5 ปี ราคาเพิ่ม $145 ดังนั้น ผลตอบแทน = (145-82)/82*100/2.5 = 30.5% ต่อปี เป็น Growth stock ที่น่าประทับใจ
หุ้นไทย CPF
หุ้น CPF ก็เป็น Growth Stock อีกตัว เพียง 2 ปี ผลตอบแทน 195.2% ต่อปี ถ้าเรียนรู้กราฟ หรือ ไม่เรียนรู้กราฟเทคนิค ก็ร่ำรวยครับ แต่ว่า ถ้าเรียนรู้กราฟเทคนิค จะรู้ว่า จะขายตรงไหน ตรงไหน จะเป็นช่วงถดถอย เอาเงินลงทุนออกทัน ไม่ติดดอย ...VI มือใหม่ อยากเป็น VI เข้าไปเก็บ ต้นทุนสูงกว่า VI รุ่นเก๋า เล่นหุ้นช้ากว่า เพิ่งเข้าตลาดหุ้น แนะนำเรียนรู้กราฟเทคนิค เพื่อใช่ในการบริหารการลงทุนให้ดี ป้องกันตัวเอง ...ระวัง ลงทุนด้วยความรู้ด้วยความไม่ประมาท
หุ้นไทย PTL
หุ้น PTL เป็นตาม Cycle ตาม ฺีBusiness เป๊ะ เลยใช่ไหมครับ รู้งี้ รู้งี้ เลยใช่ไหม และถามว่า ไม่เรียนรู้เทคนิคคอล จะขายกันตรงไหน VI แท้ ขายกันไม่ทัน ใช้ไหมครับ แมงเม่าอยู่บนดอยสูงชันกันหลายล้านชีวิต VI แท้ ถือยาว ไม่ปล่อยของช่วง Decline ก็ดอยกันไปตาม ระเบียบ เชื่อโบรค เชื่อ Research เชียร์กัน เป้าหมายพื้นฐานดี อย่างนี้ อย่างนั้น กี่สำนัก แล้วเป็นไงละครับ ไม่ยอมเรียนรู้ทางเทคนิค (ผมเองก็ดอย และ ซ่อมจุดอ่อน แกร่งจากตัว PTL นี้ ตกเตียงนอน ที่เมืองนอกกันเลย ขำ ขำ ดอยไปไม่เยอะ เก็บได้ยาว ยาว ไป คิดว่าเป็น ค่าครู หลายแต่ไม่หนาว เพราะ เริ่มเรียนรู้เทคนิคคอล เอาที่ขาดทุนคืนได้หมด) อ่านเทรนเป็น ไปตามเขา ออกก่อนเขา แค่นี้ ก็ล่ำซำขึ้นแล้วครับ ไม่ยาก จังหวะใคร จังหวะมัน
หุ้นไทย PTT
หุ้น PTT เป็น Cycle Stock ชัดเจนมากครับ ถือ 4 ปี VI แท้ จะได้ผลตอบแทน 51.8% เป็น Technical VI มีผลตอบแทน Growth 1 + Growth 2 = 50.2%+58.1% = 108.3% มากกว่า 2 เท่าเลยนะครับ แค่ เรียนรู้การวิเคราะห์แบบเทคนิคคอล ง่ายๆ
บทสรุป การลงทุนหุ้น ก็เหมือน การทำธุรกิจอย่างหนึ่ง ที่ธุรกิจมีรูปแบบ Cycle มีช่วงเติบโต (Growth) และ ช่วงถดถอย (Decline) ในแต่ละ Business เราต้องเข้าใจว่า หุ้นบริษัทที่เราลงทุน มี Business Cycle เป็นอย่างไร เติบโตจากพื้นฐานที่แท้จริง หรือ Fund flow ของฝรั่ง ต้องมองให้ออก การนำการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาช่วยในการบริหารการลงทุนและลดความเสี่ยงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการลงทุน ช่วยให้พอร์ตโตเร็ว เขียนไว้เป็นแนวทาง หลายคนมือใหม่ อยากเป็น VI แท้ ถ้าย้อนเวลาไป 2 ปี เท่ากัน Technical VI จะมีพอร์ตที่โตมากกว่าแน่นอน ได้ทั้งกำไรเกน และ บันผลประจำปี ขายสุดเทรน เท่ากับ VI แท้ ไม่ต้องรอ 5-10 ปี จะใช้เงินกันตอนเกษียร หรือครับ ขำ ขำ มันไม่ง่ายแบบหนังสือที่เขียนแล้ว ช่วงนี้ VI แท้ น้ำตาไหล หนาวเย็น กันอยู่บนดอยหลายตัวนะ ไปตามเขา ซื้อตามเขา เขาว่าดี แต่ ขายไม่ทันเขา เพราะ ขาดความรู้ เครื่องมือ เทคนิค ในการบริหารการลงทุนที่ดี ถ้าโปรแกรมการลงทุนผิด จะไม่มีกำไรที่ดี หรือ ขาดทุน ยิ่งลงทุน ยิ่งขาดทุน ให้ถอยออกมาหา Bug ว่า เราขาดอะไร ตรงไหน ทำไมลงทุนถึงขาดทุน พอร์ตไม่โตมากมายสักที ...แก้ไขโปรแกรมใหม่ แ้ล้วค่อยเดินต่อ ตามจังหวะ และ โอกาสเหมาะสม จะดีกว่าครับ
great ka
ReplyDelete